กรุงเบิร์น (Bern) เป็นเมืองหลวงและตั้งอยู่ใจกลางของประเทศสวิตเซอร์แลนด์
มีความโดดเด่นอย่างน่าประทับใจของเมืองเก่าสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคกลาง
ซึ่งถูกอนุรักษ์ไว้จากอดีตจนถึงปัจจุบัน
และเป็นตัวอย่างผังเมืองของสมัยกลางที่ดีมากที่สุดในทวีปยุโรป
จนได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลก โดยยูเนสโกตั้งแต่ปี 1983 ภายในเมืองเก่ามีตรอกซอกซอยที่คงเดิม
มีภูมิทัศน์ของลักษณะภายนอกอาคารเป็นหินทราย หลังคาสีแดงเมื่อมองจากมุมสูง
และการเป็นสัดส่วนของย่านขายของ ซึ่งในภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “เลาเบิร์น”
(Lauben) นอกจากนี้กลิ่นอายแห่งอดีตของศตวรรษที่ 16
ยังมีให้เราสัมผัสเรื่อย ๆ จากความขลังของรูปปั้นน้ำพุ 11 แห่งตั้งกระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่าง
ๆ และโบสถ์สไตล์โกธิค สมบัติล้ำค่าเหล่านี้ตั้งโอบรอบตามทางโค้งของแม่น้ำ Aare
เป็นวงกลมเสมือนกับว่าเป็นเกราะป้องกันเมืองเก่า
จุดหลักของเมืองเก่าคือหอนาฬิกา Zytglogge-Fuhrung
ที่เก่าแก่ตั้งแต่ยุคกลาง สร้างในช่วงต้นศตวรรษที่ 13
ในสมัยนั้นหอนี้เป็นทั้งหอรักษาการณ์ คุก และหอนาฬิกา นอกจากการมีเบื้องหลังทางประวัติศาสตร์แล้ว
ขึ้นชื่อว่าสวิตเซอร์แลนด์เป็นผู้ค้นคิดและผลิตกลไกนาฬิการะดับโลก
ความซับซ้อนของกลไกของหอนาฬิกานี้เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มาก
ทั้งหน้าปัดนาฬิกาและการประดับประดาภายนอกหอนาฬิกา
บนหน้าปัดนาฬิกาอันใหญ่โตนี้ประกอบด้วยตัวกำหนดที่สำคัญ ซึ่งมาจากทิศตะวันตกและตะวันออก
ลักษณะหน้าปัดเกี่ยวกับทิศตะวันออก คือ วงแหวนรอบนอกที่มีตัวเลขโรมันสีทอง
ซึ่งมีเข็มชั่วโมงและพระอาทิตย์สีทองที่ยึดติดกับแกนหมุน
และวงแหวนชั้นในเป็นเข็มนาที การซ่อมแซมหน้าปัดนี้ได้เกิดขึ้นตามกาลเวลา
แต่ที่เราเห็นในปัจจุบัน เป็นการปรับปรุงล่าสุดตามแผนงานของปี 1770
ค่ะ ส่วนหน้าปัดเกี่ยวกับทิศตะวันตกมีเข็มบอกเวลาคล้ายคลึงกับตะวันออก
แต่จะต่างกันที่ความสมบูรณ์ของการเขียนภาพบนผนังหน้าปัดที่มีชื่อว่า “Beginning
of Time” เป็นภาพวาดพรรณนาโครนอส (Chronos) โฉบลงอย่างรวดเร็วกับการกระพือปีกด้วยเสื้อคลุมไม่มีแขน
ส่วนด้านล่างเป็นอาดัมและอีฟถูกนางฟ้าขับไล่ออกจากสวรรค์ ยังไม่จบนะคะ
หอนาฬิกานี้ยังมีนาฬิกาที่เกี่ยวกับดาราศาสตร์
อันนี้เขมทึ่งถึงความเก่งกาจของคนสวิสจริง ๆ มิน่านาฬิกาประเทศเขาถึงแพงสุด ๆ
หน้าปัดนี้ถูกสร้างขึ้นในแบบฉบับของนาฬิกาดาว โดยใช้ตารางดาวควบกับเส้นตรงแผนที่แบบสเตริโอกราฟิกแบ่งเป็นสามโซน
และใช้สีในการแบ่งแยก คือ ท้องฟ้ามึดสีดำ รุ่งอรุณสีฟ้าเข้ม
และท้องฟ้ากลางวันสีฟ้าอ่อน โซนทั้งสามนี้เคลื่อนที่สลับไปมากับเส้นตรงขอบฟ้าสีทอง
เวลารุ่งเช้า เขตร้อนของโลก และชั่วโมงโลกปัจจุบัน ซึ่งแบ่งเวลาของแสงแดดเป็น 12
ชั่วโมง และความยาวของช่วงกลางวันขึ้นอยู่กับเวลาของปีนั้น รอบ ๆ
ตารางดาวเคลื่อนเหมือนแผ่นป้ายเหล็กทำหน้าที่แทนจักรราศี
ซึ่งประกอบด้วยปฏิทินที่ทำขึ้นโดยจูเลียส ซีซาร์ ปีหนึ่งจะมี 365
วัน และ 366 วันทุก 4 ปี
เยี่ยมชมความเลอเลิศของหอนาฬิกาแล้ว
อย่าลืมเดินสูดบรรยากาศของตึกรามบ้านช่องในยุคกลาง โดยเฉพาะนักช้อปมือโปรทั้งหลาย
ต้องชอบช้อปปิ้งบนพื้นที่อาร์เขตที่มีหลังคาปกคลุมตลอด 6
กม. ยาวที่สุดในทวีปยุโรป ภายใต้ความขลังของตึกประวัติศาสตร์หินทรายสไตล์บาโรก
ทางเดินเล่นนี้เต็มไปด้วยร้านค้าเป็นร้อย ๆ ร้าน
ทั้งแบรนด์อินเทรนด์จนไปถึงงานฝีมือ ร้านอาหาร คาแฟ่ มีให้เลือกมากมาย
และที่นี่ป๊อปปูล่าเป็นพิเศษจากสีสันของตลาดนัดที่มีทุกวันอังคารและเสาร์ที่ Bundesplatz
และ Munsterplatz ซึ่งในขณะเดียวกัน ทางตะวันตกมีแหล่งช้อปปิ้งและศูนย์รวมความบันเทิงที่ทันสมัย
“Libeskind & Piano” ในพื้นที่ 23500
ตรม. เป็นอาคารแรกในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่ถุกออกแบบโดยสถาปนิกดาวดังชื่อ “Daniel
Libeskind” ที่คุณสามารถช้อปจนกระเป๋าฉีกได้เลยค่ะ
กรุงเบิร์นไม่ได้มีชื่อเสียงเพียงแค่สถาปัตยกรรมสมัยกลาง แต่ 200 ม.
จากหอนาฬิกา Zytglogge-Fuhrung จะพบกับอพาร์ทเม้นท์ของนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่
20 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein)
ซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์นี้ในกรุงเบิร์นระหว่างปี 1903-1905
ภายในบ้านมีนิทรรศการเอกสารต่าง ๆ
ลายมือของไอน์สไตน์ที่เขียนไว้เกี่ยวกับงานทางวิทยาศาสตร์
และที่นี่เป็นที่ที่ไอน์สไตน์ริเริ่มทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษอีกด้วยค่ะ
แต่ถ้าท่านใดต้องการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับไอน์สไตน์
ต้องไปที่พิพิธภัณฑ์ไอน์สไตน์ (Einstein Museum) มีตั้งแต่การแสดงลายลักษณ์อักษรและภาพยนตร์สารคดี
ชีวประวัติไอน์สไตน์ การแสดงตัวอย่างทางประวัติศาสตร์ของศตวรรษที่ 20
ภาพยนตร์ภาพวาดเคลื่อนไหวต่าง ๆ การทดลองทางวิทยาศาสตร์
และการเดินทางอย่างแท้จริงของการปฏิวัติของไอน์สไตน์
ผ่านการอธิบายจักรวาลทฤษฎีในวิธีที่เข้าใจได้ง่ายและชัดเจน
ความหวือหวาในเมืองไม่ใช่เป็นสิ่งเดียวที่น่าสนใจ
แต่กรุงเบิร์นยังมีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่ Mt. Gurten เขียวขจีไปด้วยธรรมชาติทุ่งหญ้า
ป่าไม้ เดินทางเยี่ยมชมสะดวกสบายด้วยรถเคเบิ้ลกระจกรอบคัน สามารถเห็นทัศนียภาพทั้งหมดระหว่างทางขึ้นไปภูเขา
บนเขาเป็นสวนกว้างใหญ่ มีดอกกุหลาบหลากสายพันธุ์กว่า 220 ชนิด
ดอกไอริซ 200 ชนิด
และร้านอาหารพร้อมทิวทัศน์งดงามของเมืองเก่าและแม่น้ำ Aare