เมืองซูริค (Zurich)



         
             เมืองซูริค (Zurich) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 409 ม. ท่ามกลางทะเลสาบซูริคซึ่งเป็นทะเลสาบหลักยาว 28 กม. กว้าง 4 กม. และมีแม่น้ำลิมมัตเป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุด เมืองซูริคมิใช่เมืองหลวงของประเทศ แต่มีชื่อเสียงระดับโลกและเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจ ธนาคาร และวัฒนธรรม ซูริคยังเป็นเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลกและเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในทวีปยุโรป อีกทั้งเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพแพงมากที่สุดอันดับ 2ในสวิตเซอร์แลนด์ ตามหลังมาจากเมืองเจนีวา



          
          

          
          ซูริคเป็นเมืองที่มีความเป็นหนึ่งจากการผสมผสานระหว่างวิถีการดำเนินชีวิตที่ดีกับสิ่งแวดล้อม ศิลปะ และงานเฉลิมฉลองเทศกาลต่าง ๆ ตลอดทั้งปี ทำให้เมืองนี้มีชีวิตชีวา ความรื่นเริงแก่คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ซูริคเป็นเมืองใหญ่ จึงมีคำถามอยู่เรื่อย ๆ ว่าจะไปท่องเที่ยวที่ไหนดี เพื่อเป็นการไม่ให้เสียเวลามากในหนึ่งเมือง เขมขอแนะนำการท่องเที่ยวในเมืองซูริคภายใน 72 ชั่วโมง หรือ 3 วัน ที่เขมกำลังเสนอนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องเที่ยวทุกที่ แต่ให้เลือกตามความชอบ




โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (St. Peter’s Church)




             โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (St. Peter’s Church) เป็น 1 ใน 4 โบสถ์หลัก (อีก 3 โบสถ์ได้แก่Grossmünster, Fraumünster และ Predigerkirche) ตั้งอยู่ที่เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์


             โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ตั้งอยู่ติดกับเนินเขา Lindenhof โดยเป็นที่ตั้งของปราสาทโรมันเก่าแก่ โบสถ์เซนต์ปีเตอร์เป็นคริสจักรยุคแรกที่มีขนาด 7 ถึง 10 เมตร มีหลักฐานทางโบราณคดีว่าอยู่ประมาณช่วงยุคของศตวรรษที่ 8 หรือศตวรรษที่ 9 ภายหลังอาคารแห่งนี้ก็ถูกแทนที่ด้วยคริสตจักรโรมันในช่วงต้นปีค.ศ.ที่ 1,000 และถูกแทนที่ด้วยโครงสร้างแบบโรมันตอนปลายในช่วงปีค.ศ. 1230 และยังคงอยู่ให้เห็นในปัจจุบัน



          รูดอล์ฟ บรูน (Rudolf Brun) นายกเทศมนตรีคนแรกของเมืองถูกฝังอยู่ที่โบสถ์แห่งนี้ในปีค.ศ. 1360 บาทหลวง ลีโอ จัด (Leo Jud)  เป็นบาทหลวงท่านแรกที่ได้มีส่วนร่วมในการแปลพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับแรกในเมืองซูริค หลังจากนั้นวิหารแห่งนี้ก็ถูกสร้างขึ้นใหม่เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิค (Gothic) ในปีค.ศ. 1460 ก่อนที่จะมีการบูรณะในส่วนที่เหลือ โบสถ์เซนต์ปีเตอร์เป็นโบสถ์เดียวในเมืองส่วนที่เหลือนั้นเป็นส่วนหนึ่งของอาราม


           อาคารหลังปัจจุบันได้รับการถวายในปีค.ศ. 1706 ในฐานะของโบสถ์แรกที่สร้างขึ้นภายใต้การปกครองของนิกายโปรเตสแตนท์ และได้เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปศาสนาของโบสถ์ในเขตการปกครองของเมืองซูริค จนกระทั่งปีค.ศ. 1911 ได้สร้างหอนาฬิกา และการบูรณะเริ่มต้นขึ้นในปีค.ศ. 1970 1975 หน้าปัดของหอนาฬิกามีเส้นผ่านศูนย์กลาง 8.7 เมตร ขึ้นชื่อว่าเป็นหอนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป ยิ่งไปกว่านั้นหอคอยนาฬิกาถือว่าเป็นของเมืองซูริค ส่วนอาคารของโบสถ์นั้นก็ขึ้นตรงกับโบสถ์เซนต์ปีเตอร์โดยตรง นอกจากหอนาฬิกาแล้วนักท่องเที่ยวจะได้พบกับ Pipe organ ที่ได้นำเข้ามาไว้ในโบสถ์ในปีค.ศ. 1974 โดย Mühleisen Manufacture d´orgues จากเมือง Strasbourg ประเทศฝรั่งเศษ



พิพิธภัณฑ์ (Rietberg Museum)


                พิพิธภัณฑ์ Rietberg ตั้งอยู่ที่เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงนิทรรศการศิลปะที่ใหญ่เป็นอันดับสามของเมืองซูริค และได้รับขนานนามว่าเป็นพิพิธภัณฑ์หนึ่งในสถาบันจัดแสดงนิทรรศการชั้นนำของทวีปยุโรปและระดับโลก


      เมื่อปีค.ศ. 1949 ประชาชนในเมืองซูริคได้ลงความเห็นว่าควรจะเปลี่ยนวิลล่า Wesendonck ให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อเก็บผลงานสะสมของบารอน Eduard von der Heydt ที่ได้มอบให้แก่เมืองซูริค ในปีค.ศ. 1952 พิพิธภัณฑ์ Rietberg ก็ได้เปิดให้ผู้คนได้เข้าชมอย่างเป็นทางการ ผลงานการจัดแสดงจะนำมาจากทวีปเอเชีย ทวีปแอฟริกา ทวีปอเมริกา และอีกมากมาย


               ผ่านมาถึงช่วงปีค.ศ. 2002 หน่วยงานสาธารณะของเทศบาลเมืองซูริคได้จัดการแข่งขันระหว่างสถาปนิกเพื่อออกแบบส่วนขยายเพิ่มเติมของพิพิธภัณฑ์ขึ้นใหม่ ผู้ชนะได้แก่ Alfred Grazioli และ Adolf Krischanitz  ลักษณะผลงานการออกแบบของพวกเขาจะเน้นไปที่พื้นที่กว้างใหญ่ ชัดเจน และเต็มเปี่ยมไปด้วยความสง่างาม สถาปนิกทั้งสองได้ออกแบบอาคารชั้นใต้ดินที่แยกออกมาจากอาคารวิลล่าเดิม ในขณะเดียวกันก็สร้างห้องโถงนิทรรศการที่มีขนาดกว้างขวางซึ่งเชื่อมต่อกับอาคารวิลล่า Wesendonck


              หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ปีค.ศ. 2007 ส่วนขยายที่ได้ออกแบบเมื่อปีค.ศ. 2002นั้นก็เปิดให้ผู้อื่นได้เข้าชมอย่างเป็นทางการ ส่วนของนิทรรศการมีพื้นที่กว้างกว่าเดิมถึง 125 เปอร์เซ็นต์ ทางเดินเข้าไปสู่ส่วนขยายของพิพิธภัณฑ์จะเป็นรูปทรงอาคารแก้วสีมรกตเพื่อเข้าไปสู่ส่วนของห้องโถง จากตรงนี้ถ้าลงไปจะพบกับอาคารใต้ดินสองชั้น


           ชั้นใต้ดินชั้นแรกเป็นที่เก็บนิทรรศการถาวรรวบรวมผลงานจากทวีปแอฟริกาและทวีปเอเชียตะวันออก ผลงานหลักๆของพิพิธภัณฑ์ยังคงเป็นของสะสมของบารอน Eduard von der Heydt ของสะสมแต่ละชิ้นล้วนมีความน่าสนใจและมีคุณค่าทางศิลปะ เช่น รูปปั้นศาสนาพุทธจากประเทศจีนที่ได้ทำขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 6 7 หรือรูปปั้นไม้จากฝั่งตะวันตกของแอฟริกา ส่วนนิทรรศการชั่วคราวนั้นตั้งอยู่ที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวไม่น้อยไปกว่านิทรรศการถาวร



ที่มา:https://www.talontiew.com/12-top-destinations-in-zurich/